ถึงขั้นยกมือไหว้ ท่วมหัวสาบาน!!!…พยานใหม่โผล่ ฉันเห็นกับตา แต่ทำไมคนร้ายจึงเป็น”ครูจอมทรัพย์”ไม่เข้าใจจริงๆ(รายละเอียด)

จากกรณี นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 54 ปี อดีตข้าราชการครู ถูกศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี 2 เดือน ตั้งแต่ปี 2556 ในคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อ...


จากกรณี นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 54 ปี อดีตข้าราชการครู ถูกศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี 2 เดือน ตั้งแต่ปี 2556 ในคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต เหตุเกิดเมื่อปี 2548 ก่อนได้รับอภัยโทษออกมาเมื่อปี 2558

หลังจากนั้นนางจอมทรัพย์ ได้เดินทางยื่นหนังสือที่กระทรวงยุติธรรม ร้องขอให้ช่วยเหลือในการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นมาพิจารณาใหม่ เนื่องจาก นางจอมทรัพย์ ยืนยันขณะเกิดเหตุตนอยู่กับครอบครัวที่บ้าน ซึ่งอยู่ที่ จ.สกลนคร แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ จ.นครพนม แต่ภายหลังมีหลักฐานใหม่เชื่อได้ว่าไม่ใช่ผู้กระทำผิดตัวจริง ซึ่งศาล จ.นครพนม ได้นัดสืบพยานจากฝ่ายผู้ร้องและฝ่ายคัดค้าน ระหว่างวันที่ 8–10 ก.พ. เพื่อดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม

loading...


คดีดังกล่าวกลายเป็นกระแสสังคมและมีคนพูดถึงอย่างมากมายรวมถึงในโลกออนไลน์ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ออกมาโต้แย้งว่า ได้ดำเนินคดีถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายและมั่นใจว่า นางจอมทรัพย์เป็นผู้กระทำผิดจริง พร้อมยืนยันว่า มีการสร้างเรื่องเเละจัดฉาก รวมถึงมีการว่าจ้างให้ผู้อื่นมารับผิดแทนนางจอมทรัพย์ เเละอยู่ระหว่างการสืบสวนรวบรวมหลักฐาน โดยจะมีการแจ้งความเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องในขบวนการนี้


ล่าสุดวันที่ 19 ม.ค. 60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 57 บ.นาคู่ หมู่ 2 ต.นาคู่ อ.นาแก จ.นครพนม บ้านของนางทองเรศ วงศ์ศรีชา วัย 51 ปี มีอาชีพทำนา ซึ่งเป็นเพื่อนของนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ อายุ 61 ปี ซึ่งเป็น 1 ใน 2 พยานปากเอกที่เห็นเหตุการณ์ โดยนางทองนเรศได้ซ้อนท้ายรถนางทัศนีย์ในวันที่เกิดเหตุ และได้เห็นเหตุการณ์ที่รถกระบะได้พุ่งชนนายเหลือ พ่อบำรุง เสียชีวิต หลังจากไปเป็นพยานให้การในชั้นศาลคดีนางจอมทรัพย์ ในคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต เมื่อปี 2548


ซึ่งนางทองเรศ ได้ออกมากล่าวว่า วันเกิดที่เกิดเหตุนางทัศนีย์ชักชวนตนไปร่วมงานบุญแจกข้าวที่ต.ท่าลาด อ.เรณูนคร โดยตนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ฮอนด้าดรีมสีขาว ทะเบียน ฉ 2744 นครพนม ในขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้านนาคู่ ระหว่างที่นางทัศนีย์ขับรถขึ้นถนนทางหลวงหมายเลข 2031 สายธาตุน้อย-นาเหนือ ช่วง บ.สร้างเม็ก ต.ท่าลาด ได้ยินเสียงเร่งเครื่องรถยนต์มาด้วยความเร็วสูง ขับแซงรถที่ตนซ้อนท้ายไปอย่างรวด จนกระทั่งเห็นรถคันดังกล่าวพุ่งชนรถจักรยาน จนทำให้ร่างนายเหลือปลิวกระเด็นตกลงพื้น


โดยนางทองนเรศยังได้อธิบายถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า ได้เห็นคนขับรถไม่ทราบว่าเป็นรถกระบะหรือรถเก๋ง เพราะตนนั่งซ้อนท้ายดูอยู่ห่างจุดเกิดเหตุประมาณ 30 เมตร ซึ่งมีแสงไฟรถจักรยานยนต์ของนางทัศนีย์ส่องเห็นถึง เปิดประตูรถฝั่งคนขับเดินลงมา คนขับมีลักษณะท้วม สวมรองเท้าหนัง เสื้อแขนยาวสีดำ เดินลงมาดูนายเหลือ คนถูกรถชนแล้วจึงเดินขึ้นรถเร่งเครื่องขับหลบหนีไป หลังเกิดเหตุก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะผู้ประสบเหตุถูกรถชนไม่ใช่ญาติพี่น้องของตนและนางทัศนีย์ เหตุการณ์ผ่านไปสักระยะ นางทัศนีย์ก็ได้มาเล่าให้ตนฟังว่าหลังที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น ยืนยันและคุยกันกับนางทัศนีย์ว่าคนขับเป็นผู้ชาย มารู้ภายหลังว่าคนที่ต้องโทษจำคุกกลับกลายเป็นผู้หญิง กระทั่งมีหมายศาลเรียกให้ตนไปเป็นพยานชั้นศาลและยังพบเห็นนายสับ วาปี ซึ่งทราบว่าเป็นผู้ออกมารับสารภาพว่าเป็นผู้ขับรถชนตัวจริงแต่ไม่ได้คุยกันเพราะอยู่กันคนละห้องและศาลได้เรียกเข้าห้องพิจารณาทีละคน ซึ่งก็พบด้วยว่านายสับนั้นมีรูปร่างลักษณะท้วม


 ทั้งนี้นางทองนเรศได้ระบุทิ้งท้ายว่า“หลังจากที่ถึงคิวฉันให้การเป็นพยานบนชั้นศาล ศาลได้ถามฉันว่าคนขับรถคันก่อเหตุเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ฉันจึงตอบศาลไปว่าคนขับรถชนเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง ซึ่งศาลก็ถามแค่นี้สั้นๆ”

ในขณะที่สัมภาษณ์อยู่นั้น นางทองเรศก็ได้ยกพนมมือไหว้เหนือหัว พร้อมกล่าว สาบานต่อสิ่งศักดิ์และองค์พระธาตุพนมว่า ทุกถอยคำที่ตนพูดและให้การในศาลไปนั้น ไม่มีใครมาเสนอเงินหรือให้สินจ้างแต่อย่างใด เพื่อให้พูดช่วยเหลือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทั้งสิ้น


ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้สอบถามข้อเท็จจริงกับ พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ อดีต ส.ว.มุกดาหาร ในเรื่องดังกล่าว โดยอดีตส.ว.มุกดาหารได้เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2556 กลุ่มบุคคลประมาณ 10 คน นั่งรถตู้ มาพบที่บ้านพักของตนใน จ.มุกดาหาร โดย 1 ในจำนวนนี้ มีนายสับ วาปี ซึ่งเป็นญาติทางฝ่ายแม่ของนางจอมทรัพย์ เพื่อขอให้ช่วยเหลือเรื่องคดีความของนางจอมทรัพย์ แต่ตนได้ปฏิเสธไป เนื่องจากศาลฎีกาได้พิพากษาเป็นที่สิ้นสุดแล้ว


โดยระหว่างที่มีการพูดคุยในเรื่องนี้ บางคนในกลุ่มนั้นได้บันทึกวิดีโอและภาพนิ่งไว้ ตนจึงได้ทักท้วงไปว่า “ควรให้เกียรติกันบ้าง และขอความร่วมมือไม่ให้ถ่ายภาพ” กระทั่งทราบว่า มีการนำไปเป็นหลักฐานในการยื่นเรื่องต่อกระทรวงยุติธรรม และยื่นเรื่องร้องต่อศาลจังหวัดนครพนมเพื่อรื้อฟื้นคดี


พ.ต.ท.จิตต์ กล่าวอีกว่า ในตอนนั้นให้คำปรึกษาไปว่า คดีนี้ศาลพิพากษาคดีเป็นที่สิ้นสุด ไม่สามารถช่วยเหลือทางคดีได้ กลุ่มบุคคลดังกล่าวจึงเดินทางกลับ โดยส่วนตัวไม่ได้รู้จักนายสับเป็นการส่วนตัว แต่มีครูใน จ.มุกดาหาร พากลุ่มบุคคลเข้ามาพบ



Cr:http://www.zocialx.com/12714/

loading...

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Flickr Images