ตัวจริงเสียงจริง!! พระนพดล ออกโพสต์ชี้ทางสว่างให้ “อุ๋ย บูดาเบลส” คู่ปรับตัวยง งานนี้จบยากซะแล้ว

 กลายเป็นกรณีที่หลายคนต่างให้ความสนใจอย่างมาก สำหรับกรณีของ "พระธัมมชโย" เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าจับ...


 กลายเป็นกรณีที่หลายคนต่างให้ความสนใจอย่างมาก สำหรับกรณีของ "พระธัมมชโย" เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าจับกุมตาม ม.44 ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ ว่าพระธัมมชโยมีความผิดจริงหรือไม่ ซึ่งภายหลัง "อุ๋ย บูดาเบลส" ศิลปินผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้ออกมาดีเบตกับคุณอัยย์ ศิษย์วัดพระธรรมกาย โดยหนุ่มอุ๋ยได้งัดหลักฐานสหกรณ์ของวัดพระธรรมกายมาแฉแหลก ทำเอาคุณอัยย์ไปไม่เป็นเลยทีเดียว


ล่าสุด "พระนพดล สิริวํโส" ได้ออกมาโพสต์ซัดแหลกถึงอุ๋ย ผ่านเฟซบุ๊ก พระนพดล สิริวํโส ว่า
       ชี้ทางสว่างให้"อุ๋ย"


loading...

       เมื่อสักครู่ได้เข้าไปโพส ให้ความกระจ่างต่อนักร้องท่านหนึ่งที่ มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อหลวงพ่อและคำสอนของวัดพระธรรมกาย ก็ไม่รู้ว่านักร้องท่านนี้จะได้อ่านหรือไม่อย่างไร แต่อยากนำมาบอกต่อพี่ๆน้องๆทุกคนทั้งที่รักวัดหรือเกลียดวัดพระธรรมกาย...ลองอ่านดูนะคะ แม้จะยาวหน่อย แต่เชื่อว่า ท่านจะได้ข้อคิดดีๆ และมีมุมมองใหม่ที่ดีขึ้นต่อวัดพระธรรมกาย..ขอชี้แจง เป็นประเด็นต่างๆดังนี้ ตามความเห็นส่วนตัว ในฐานะที่เข้าวัดมานานร่วม30ปี
       1.ประเด็นเรื่องคำสอน.หลายคนเข้าใจว่า หลวงพ่อสอนแต่ให้รวยๆๆๆ และยึดติดรึเปล่า ขอเรียนว่า..หัวใจคำสอนหลวงพ่อวัดพระธรรมกายคือเรื่องการปฏิบัติสมาธิตามแนววิชชาธรรมกายของหลวงปู่สดและกฎแห่งกรรมค่ะ. ถ้าได้ฟังธรรมจากท่านโดยตลอด. ไม่ใช่แค่บางช่วงบางตอน. จะเห็นว่าคำสอนหลวงพ่อมีทุกระดับตั้งแต่ ผู้ครองเรือนไปจนถึงนักบวชปฏิบัติมุ่งหมดกิเลส
       ถ้าแต่งงานครองเรือนอยู่. ท่านก็ยกอานิสงส์ของทาน/ศีล/ภาวนา/ ละอบายมุข และหลักธรรมการครองเรือนอื่นๆ แต่ถ้าเป็นพระหรือนักบวช. ท่านเน้นเรื่อง.รักษาศีล/สมาธิ/การบวชประพฤติพรหมจรรย์. ชี้ให้เห็นโทษของการมีคู่ครอง จนข้าพเจ้าและเพื่อนอีกหลายคน ไม่อยากแต่งงาน ขอถือศีล8 กันเลยทีเดียว
       และที่ชอบมากคือท่านจะสอนลุ่มลึกไปตามลำดับตามหลักธรรมที่เรียกว่า อนุปุพพิกถา 5 (ลองหาอ่านความหมายดูนะคะ) มี 1ทาน/2ศีล/3สวรรค์/4โทษของกาม/และ5อานิสงส์การออกจากกามมุ่งทำพระนิพพานให้แจ้ง หรือเชียร์ให้บวชนั่นเอง ถึงได้มีหนุ่มๆมาบวชตลอดชีวิตที่วัดเยอะหลายพันรูปไงคะ.

 2.แต่ทำไม เปิดDMC ทีไร. ก็มักเห็นแต่ วัดชวนทำบุญๆ. อธิบายว่า..ก็เพราะวัดอยู่ในช่วงของการก่อสร้างศาสนสถานต่างๆมากมายเพราะคนมาวัดเป็นแสนเป็นล้านไงคะ แล้วทำไมต้องสร้างใหญ่ๆล่ะ. ก็ลองมาร่วมงานบุญในวันมาฆะ หรือทอดกฐินที่วัดสักครั้ง ก็จะรู้ค่ะ เพราะคนมาเป็นแสน ศาลากว้างๆ แต่ที่นั่งแทบไม่มี
       แล้วเงินบริจากเยอะๆเอาไปทำอะไรล่ะ ..ก็กลายมาเป็นศาสนสถานให้ชาวพุทธได้ใช้ (คงเห็นจากข่าวแล้วว่าวัดที่เราภาคภูมิใจสร้างมาด้วยเงินของเรานั้นเป็นอย่างไร) ..กลายมาเป็นค่าอาหารที่วัดเลี้ยงคนเป็นแสนในแต่ละงานบุญ..กลายเป็นค่ารถทัวร์รถตู้หลายพันคันให้ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของประเทศเดินทางมาวัดอย่างสะดวกและฟรี ..กลายเป็นต้นบุญให้ชายแมนๆทั้งเด็กวัยรุ่นผู้ใหญ่หลายหมื่นได้มาบวชฟรี ..กลายเป็นภัตตาหารไทยธรรมที่ส่งไปช่วยวัดภาคใต้ หรือคนที่ถูกอุทกภัย ฯลฯ


ซึ่งทุกครั้งที่หลวงพ่อชวนทำบุญทำทาน ท่านก็จะสอนตามอย่างพระพุทธองค์. คือนำเอาอานิสงส์มาบอกกล่าว ว่าถวายภัตตาหาร. จะได้รับอานิสงส์ 5 อย่างคือ. อายุ วรรณะ. สุขะ พละ ปฏิภาณ เป็นต้น หรือนำเอาประวัตินักสร้างบารมีในยุคพุทธกาลมาเล่า ซึ่งในพระไตรปิฎกมีมากมาย. ลองไปอ่านดูนะคะ ฉบับมหามกุฏ(ง่ายดีเพราะมีอรรถกถา) เล่ม. 48 ,71-72 ขยายความอย่างแจ่มแจ้ง.ว่าทำบุญอย่างนี้ได้ไปจาตุม/ดาวดึงส์/และฯลฯ
       3.ประเด็นที่หลวงพ่อสอนว่า"ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย" ขอยืนยันว่า ประโยคนี้ไม่เคยออกจากปากหลวงพ่อเลย. มีแต่ท่านสอนให้ยึดหลัก. การทำทานที่ครบองค์ 3 อย่างคือ.
       -1 วัตถุทานต้องบริสุทธิ์. คือเงินที่เอามาทำไม่ใช่ไปขโมย คดโกงเขามา
       -2 เจตนา ต้องบริสุทธิ์ คือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ใช่ทำเอาหน้าตาชื่อเสียง ทำแล้วต้องปลื้มทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ. เพราะมีอานิสงส์ในทุกขั้นตอน
       -3 บุคคลบริสุทธิ์. คือทั้งผู้รับและผู้ให้ต้องมีกาย /วาจา/ใจ ที่บริสุทธิ์. คือทั้งพระและโยมต้องมีศีลบริสุทธิ์นั่นเอง. หลวงพ่อถึงนำนั่งสมาธิและอาราธนาศีลทุกครั้งก่อนทำบุญไงคะ. ถ้าใครทำครบองค์. 3. อย่างนี้แล้ว. แม้ทำน้อยแค่บาทเดียว. อานิสงส์ก็มากมาย และยิ่งทำมาก. อานิสงส์ก็จะทับทวีขึ้นไปตามกำลังค่ะ.


  4.ประเด็นวัดขายบุญ ค้อนราคาเป็นแสน ความจริงแล้ว ทางวัดไม่ได้จำกัดจำนวนเงินในการทำบุญค่ะ. ใครมีกำลังศรัทธาเท่าไหร่ก็ตามสะดวกข้าพเจ้าเองก็ยังทำทีละ20บาทเลย แต่ที่มีการกำหนดเช่นทำ1พัน /1หมื่นหรือ 1แสน นั้นก็เพื่อแจ้งให้ทุกคนรู้ค่าการก่อสร้างเช่น ราคาเสาเข็ม ต้นละ 1 แสน หรือ พื้นที่ตารางเมตรละ 1หมื่น ซึ่งก็รวมค่าอิฐ หิน ทรายฯลฯ
       เมื่อชัดเจนแบบนี้แล้ว คนวัดเขาก็จะเลือกทำบุญตามกำลังทรัพย์ของแต่ละคน. ซึ่งถ้าใครร่วมบุญได้ตามกำหนด. ทางวัดก็จะมีองค์พระมอบเป็นของขวัญตอบแทนให้ระลึกนึกถึงบุญ เช่น "ค้อน"ก็เป็นเครื่องให้นึกถึงบุญเช่นกัน เพราะในวันตอกเสาสร้างศาสนสถานนั้นๆ ก็จะเชิญเจ้าภาพมาร่วมพิธีตอกเสาเข็ม. โดยมีค้อนและเสาจำลองให้ทุกคนได้ตอกและนำกลับไปเป็นที่ระลึก และที่มีชิตัง เม โป้ง รวย! ก็เป็นเพียง สโลแกน บอกจังหวะในการตอกเสาพร้อมๆกันเพื่อบันทึกภาพเท่านั้นเอง
       ชิตัง เม เป็นภาษาบาลีนำมาจากพระไตรปิฎก คำว่า ชิตัง หมายถึง ชนะแล้ว คำว่า เม หมายถึง เราทั้งหลาย แปลว่า เราทั้งหลายชนะซึ่งความตระหนี่ในใจเราแล้ว แต่ในส่วนข้าพเจ้านั้นอย่างที่บอก ตามกำลังทรัพย์ค่ะ ช่วงหลังมีทรัพย์เยอะขึ้นก็ทำได้มากหน่อยค่ะ


5. แล้วที่หลวงพ่อให้พรว่า "จงรวย" ล่ะ คือการสอนให้โลภและยึดติดใช่ไหม ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า รวยในที่นี้. คือ รวยบุญรวยบารมี รวยเป็นเศรษฐีผู้ใจบุญคำ้จุนพระพุทธศาสนาค่ะ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังตรัสสอนเรื่องรวยไว้เลยว่า
       'ทำทาน จะมีอานิสงส์ ส่งให้ชีวิตไม่ลำบากยากจน อิ่ม ไม่อด หรือรวยทรัพย์นั่นเอง ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ผลักสมบัติ ทำให้เราตกตำ่ยากจน. คือความตระหนี่ถี่เหนียว' ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ทำทานบ่อยๆ เพราะเป็นการสร้างเสบียงให้ตัวเองเดินทางไกลในสังสารวัฏ
       ถ้าเราไม่แน่ใจว่าจะหมดกิเลสในชาตินี้ก็ต้องสร้างเสบียง คือทำทานไว้ เพื่อตัวเราเองค่ะ ซึ่งทานเป็นเบื้องต้นที่ทำให้การสร้างความดีอย่างอื่นทำได้สะดวก เพราะเมื่อรวยแล้ว จะให้ทานแก่เพื่อนมนุษย์ก็ง่าย จะรักษาศีลก็ง่าย หรือจะนั่งสมาธิก็ง่ายไม่ต้องกังวลว่ามื้อนี้จะอดมั๊ย ฯลฯ.
       และเมื่อรวยแล้วก็จะได้นำทรัพย์นั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ตนและผู้อื่น. และคำ้จุนพระพุทธศาสนา ให้ยืนยาวชั่วลูกชั่วหลาน เป็นการเพิ่มพูนบุญในตัวมากขึ้น.หลวงพ่อสอนให้รวยแบบนี้ไม่ใช่รวยแล้วยิ่งหวงแหน รวยแบบนั้นไม่เกิดประโยชน์ยิ่งเพิ่มกิเลสในตน. ดังนั้นหลวงพ่อจึงมักให้พรลูกศิษย์ที่ยังครองเรือนอยู่ หวังความเจริญทางโลกอยู่ว่า "จงรวย" ไงคะ ถ้าอยากรู้ว่ารวยดีอย่างไร? คงต้องลองจนดู. แล้วจะรู้ซึ้งค่ะ ข้าพเจ้าซาบซึ้งดี

 6. ประเด็น "Case study ไปนรก-สวรรค์" หลวงพ่อท่านไม่เคยพูดว่าตัวท่านไปนรก-สวรรค์ แต่ใช้คำว่า. "พระธรรมกายท่านไป...." และทุกครั้งที่เล่า Case study (ไปหาฟังกันนะคะว่า Case study คืออะไร) ท่านจะพูดกำกับทุกครั้งว่า. "หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาวหนึ่งที แล้วนำมาเล่าให้ฟัง เป็นนิยายปรัมปรา ให้พอเป็นความรู้ติดขาติดแข้ง" จะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้
       แต่น่าแปลกที่เจ้าของเคสเหล่านั้นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า. หลวงพ่อรู้ได้อย่างไร. เพราะบางเรื่องเป็นความลับในครอบครัว ที่ไม่เคยบอกใครเลย ซึ่งในมุมมองของข้าพเจ้ากลับเห็นว่า หลวงพ่อท่านเอาเรื่องชีวิตหลังความตายมาตีแผ่. ให้ทุกคนตระหนักว่า. มันคือเรื่องใกล้ตัวเรา. ไม่ใช่เรื่องไกลตัว. ให้เราอย่าประมาทในชีวิต. เพราะอายุน้อยก็ตายได้. เพราะความตายนั้นอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น. และชีวิตหลังความตายมันยาวนาน ไปทุคติภพที่เป็นอบายภูมิ4ก็ทุกข์นาน. ไปสุคติภพโลก-สวรรค์ก็เสวยผลแห่งบุญนาน.
       ให้เรามองไกล ไปถึงภพเบื้องหน้า อย่ามองสั้นๆแค่ชาตินี้ เราจะได้ออกแบบชีวิตได้ถูก ด้วยการหมั่นสั่งสมแต่บุญสร้างความดีให้มากๆ. ความชั่วแม้เล็กน้อยจงอย่าทำ. เพราะมันมีผลย้อนคืนสู่ตัวเราทั้งสิ้น. ซึ่งท่านทั้งหลายจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่จะขอแนะสักนิดว่า. อย่าพึ่งด่วนตัดสินหลวงพ่อเลย เพราะ"ถ้าหลวงพ่อท่านมีรู้มีญาณจริงๆล่ะ" สิ่งที่เราเคยดูหมิ่น ล่วงเกินท่านไว้ จะสนองคืนขนาดไหน เราจะรับผลนั้นไหวไหม เพราะ Case study มีออกมาเป็นพันๆเคสแล้ว


และเท่าที่ฟังเจ้าของเคส ส่วนใหญ่เขาเชื่อมั่นและศรัทธาหลวงพ่อมากขึ้นด้วยซำ้ และน่าทึ่งที่หลวงพ่อ สามารถใช้คำง่ายๆ เทศน์สอนลูกศิษย์ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กๆจนกระทั่งผู้เฒ่าให้เข้าใจในธรรมะได้ในเวลาเดียวกัน!!!
       ท่านจึงมีทั้งเพลงธรรมะ สื่อให้เด็กเข้าใจ. ทั้งภาพให้เห็นชัดเจน และก็พูดอธิบายให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นในช่วงที่ท่านเทศน์ค่ะ แต่ลูกศิษย์ท่านก็มีมากมายหลากหลาย. ทั้งพุทธจริต ศรัทธาจริต ราคะจริต โมหะจริต โทสะจริต วิตกจริต ซึ่งแต่ละคนก็มีวิจารณญาณ ในการรับคำสอนและสื่อสารต่อที่แตกต่างกันตามสติปัญญาและจริตอัธยาศัย จึงกลายเป็นปัญหา ที่ย้อนคืนเป็นผลเสียต่อหลวงพ่อดังเช่นทุกวันนี้ แต่ไม่ว่าจริตไหน ศิษย์ทุกคนก็ยังเชื่อมั่นศรัทธาหลวงพ่อเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ
       ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือความเห็นส่วนตัว จากการลงมือพิสูจน์ด้วยตนเอง มิได้ฟังเขาเล่ามา
       กราบอนุโมทนาบุญนะคะ
       สุปานันท์ ปิ่นสูรย์
       ดูเหมือนเรื่องนี้จะจบยากซะแล้วค่ะ กลายเป็นสงครามคารมระหว่างสองฝ่ายไปเสียแล้ว อย่างไรก็โปรดใช้วิจารณญาณกันด้วยนะคะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : Kaijeaw.com      ขอขอบคุณที่มาจาก : พระนพดล สิริวํโส

Cr:http://kaijeaw.com/

loading...

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Flickr Images