จากกรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จัดทำหนังสือแจ้งเตือนกรมสรรพากรให้เรียกเก็บภาษีเงินได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มว่าจะเก็บไม่ได้ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหากับกรมสรรพากรในขณะนี้ เนื่องจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชิน



วัตร บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ นำหุ้นชินคอร์ปฯ ที่ซื้อมาจากบริษัทแอมเพิลริช จำนวน 329.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท จากนั้นนำมาขายต่อให้เทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2549 ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


โดยการขายหุ้นชินคอร์ป เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2549 และต้องยื่นแบบภายใน 31 มี.ค. 2550 นายทักษิณ ไม่ได้แสดงรายได้จากการขายหุ้นเพื่อเสียภาษี ซึ่งทางกรมสรรพากรนั้นไม่เคยออกหมายเรียกนายทักษิณภายใน 5 ปี ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมกรมสรรพากรและกระทรวงการคลัง ถึงปล่อยปละละเลยให้เรื่องนี้ล่วงเลยมาถึง 5 ปี ไม่แสดงท่าทีใดกับเรื่องดังกล่าว ทางสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จึงให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้เรียบร้อยก่อนคดีจะขาดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.2560 ให้แล้วเสร็จ


ขณะเดียวกัน การประชุมร่วมระหว่างดีเอสไอและอัยการเพื่อวางแนวทางการสอบสวนคดีฟอกเงินที่นำเงินวัดไปซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง และคดีเกี่ยวกับทรัพย์มูลนิธิวัดพระธรรมกาย ได้แตกการสอบสวนเป็นคดีใหม่ โดยทางดีเอสไอพบหลักฐานจากการตรวจสอบธุรกรรมการเงินของวัดพระธรรมกาย มีความชัดเจนว่าพระทัตตชีโวนำเงินออกจากบัญชีของวัดไปซื้อหุ้น ซึ่งพระทัตตชีโวมีตำแหน่งเป็นรองเจ้าอาวาสและรักษาการเจ้าอาวาส จึงถือเป็นตำแหน่งเจ้าพนักงาน เข้าข่ายมีความผิดมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสอบสวน เป็นเหตุทำให้พระทัตตชีโวถูกถอดถอนสมณศักดิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ล่าสุด เกี่ยวกับสองกรณีดังกล่าว รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ได้โพสต์บทกลอนแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก "ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร" โดยระบุข้อความว่า..



กำพลาภร พุฒิพุทธ สำนักข่าวทีนิวส์
ขอบคุณ เฟซบุ๊ก ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร

Cr:http://www.tnews.co.th/